โรคงูสวัด เกิดจากการติดเชื้อวาริเซลลา ซอสเตอร์ไวรัสหรือวีแซดวี (Varicella-Zoster virus) เป็นการติดเชื้อ “ซ้ำ” ในผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน ซึ่งหลังจากหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกาย และแฝงตัวอย่างสงบโดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่เมื่อร่างกายอ่อนแอลง เชื้อไวรัสที่หลบซ่อนนี้จะทำให้เกิดโรคงูสวัด
ผู้ป่วยโรคงูสวัดเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี โดยพบว่าหนึ่งในสามของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีจะเป็นโรคงูสวัด และหนึ่งในหกของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีที่เป็นงูสวัดจะมีอาการปวดรุนแรง เนื่องจากเป็นวัยที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายเริ่มเสื่อมถอยลง ภูมิต้านทานลดลง มีโรคเรื้อรัง หรือโรคประจำตัวที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ
อาการ : โรคงูสวัด ผู้ป่วยจะมีอาการมีไข้ ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย ปวดแสบร้อนตามผิวหนัง ผื่นแดง ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง เป็นกลุ่มบริเวณผิวหนังตามแนวของเส้นประสาท โดยหลังจากตุ่มน้ำแตกออกจะกลายเป็นแผล อาการปวดและแผลจะหายได้ใน 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายก็อาจจะมีอาการปวดตามแนวเส้นประสาท เนื่องจากเส้นประสาทอักเสบจากการติดเชื้อ
ภาวะแทรกซ้อน : อาการปวดแสบร้อนตามผิวหนังนานหลายเดือน แม้ผื่นจะหายสนิท ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 10-30 โดยพบบ่อยขึ้นและปวดรุนแรงขึ้นในผู้สูงอายุ
ผู้ที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันงูสวัด
การรักษาโรคงูสวัด รักษาด้วยยาต้านไวรัส ซึ่งควรเริ่มยาภายใน 3 วันหลังจากเริ่มมีอาการ รวมกับการใช้ยาลดอาการปวด กรณีอาการรุนแรงในราย ผู้ป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อให้รับยาฉีดต้านไวรัส
การฉีดวัคซีน ฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกัน 2-6 เดือน สามารถฉีดได้ในคนที่เคยเป็นโรคงูสวัดมาก่อน เคยฉีดวัคซีนงูสวัดรุ่นเดิมหรือวัคซีนอีสุกอีใสมาก่อน โดยควรเว้นจากวัคซีนเดิมอย่างน้อย 2 เดือนขึ้นไป
ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน ผู้ที่มีประวัติแพ้วัคซีนรุนแรง ตั้งครรภ์ หรือกำลังป่วยโรคงูสวัดอยู่
ให้ความรู้โดย : พญ.วาสนา จรัสวชิรกุล